ข้อมูลตัวเลขดุลการค้าจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ที่ได้มีการเผยแพร่เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาระบุว่า ปี 2565 สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าโดยรวมเพิ่มขึ้น 12.2% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา หรือเกือบประมาณ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ โดยการเพิ่มขึ้นดังกล่าวได้รับแรงกระตุ้นจากอุปสงค์ความต้องการสินค้าที่ขยายตัวในกลุ่มเครื่องจักรกลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์การขาดดุลสินค้าและบริการรวมของปี2565 อยู่ที่ 948,100 ล้านเหรียญสหรัฐ นับเป็นการขาดดุลการค้าที่มากที่สุดเป็นประวัติการณ์

เศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง หลังจากวิกฤติการระบาดของ COVID อนึ่ง การระบาดดังกล่าวทําให้การใช้จ่ายในภาคบริการเกิดการชะงักงัน แต่ได้ช่วยกระตุ้นทําให้ภาคการบริโภคและอุปโภคเกิดการขยายตัว ตลอดจนทําให้เกิดความต้องการนําเข้าสินค้าเพิ่มเติมในหลายรายการเพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อ ราคาพลังงานและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แข็งแกร่ง ล้วนเป็นปัจจัยที่ทําให้ต้นทุนการผลิตมีราคาเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น ซึ่งทําให้มูลค่าการนําเข้าสินค้ามีการขยายตัวแปรผันตาม
นอกจากนี้ สหรัฐฯ พยายามลดบทบาททางการค้ากับจีน โดยการสร้างอุปสรรคทางการค้าต่างๆ เช่น กําแพงภาษีและมาตรการกีดกันทางการค้า ส่งผลให้ธุรกิจต่างๆ ในสหรัฐฯ เริ่มหาแหล่งวัตถุดิบและแหล่งการผลิตทางเลือก ซึ่งตัวเลขการนําเข้าได้แสดงให้เห็นถึงรูปแบบการปรับเปลี่ยนฐานการผลิตของสหรัฐฯ จากทั่วโลก โดยในปีที่ผ่านมาสหรัฐฯ นําเข้าสินค้าจาก เม็กซิโก แคนาดา อินเดีย เกาหลีใต้เวียดนามและไต้หวันเพิ่มขึ้นอย่างมาก
รัฐบาลภายใต้การนําของประธานาธิบดี Biden ระบุว่า การที่สหรัฐฯ พึ่งพาการผลิตจากจีนในอุตสาหกรรมการผลิตแผงโซลาร์เซลล์และแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าถือเป็นความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของประเทศ ดังนั้น รัฐบาลสหรัฐฯ จึงได้พยายามโน้มน้าวบริษัทในสหรัฐฯ ด้วยสิ่งจูงใจ ตลอดจนมีบทลงโทษเพื่อทําให้บริษัทเหล่านั้นพิจารณาปรับเปลี่ยนแหล่งห่วงโซ่อุปทานออกจากจีนไปยังที่อื่น ทั้งนี้ ในช่วง การระบาดของ COVID ที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าสหรัฐฯ ควรมีแหล่งผลิตทางเลือกนอกจากจีนเพื่อป้องกันปัญหาการสะดุดของระบบห่วงโซ่อุปทาน นอกจากนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ยังได้ให้การสนับสนุนบริษัทในสหรัฐฯ ที่มีความสนใจลงทุนในต่างประเทศและลดการพึ่งพาการผลิตสินค้าจากจีน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเรียกการลงทุนดังกล่าวว่า “คู่ค้าที่ไว้วางใจได้” เช่น อินเดีย
แต่ถึงกระนั้น หลายบริษัทในสหรัฐฯ ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่เต็มใจหรือไม่สามารถตัดความสัมพันธ์กับจีน แม้จะมีความตึงเครียดเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ความตึงเครียดได้มีการทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาที่มีการค้นพบบอลลูนสอดแนมของจีนที่บินอยู่เหนือน่านฟ้าสหรัฐฯ แต่ถึงกระนั้น การค้าระหว่างสองประเทศยังคงแข็งแกร่ง ยอดขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับจีนในปีที่ผ่านมา มีมูลค่า 382,900 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 8.3% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งการขาดดุลดังกล่าวนับว่าเป็นอัตราที่สูงที่สุดเป็นอันดับสองในประวัติการณ์รองจากการขาดดุลในปี 2561 ซึ่งมีมูลค่าการขาดดุลที่ 419,400 ล้านเหรียญสหรัฐ

ซื้อผลิตภัณฑ์พลังงานจากสหรัฐอเมริกามากขึ้น การส่งออกทั้งหมดของสหรัฐฯ ขยายตัวเร็วกว่าการนําเข้าในปีที่ผ่านมานอกจากนี้ การฟื้นตัวของภาคการเดินทางและการขนส่งของสหรัฐฯ ภายหลังการระบาดใหญ่ของ COVID ได้ผลักดันให้การส่งออกในภาคบริการของสหรัฐฯ มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ปริมาณการนําเข้าโดยรวมของสหรัฐฯ ยังคงมากกว่าการส่งออก ทําให้เกิดการขาดดุลการค้า การส่งออกสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น 17.7% เป็นจํานวนเงิน 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่การนําเข้าสินค้าและบริการก็เพิ่มขึ้น 16.3% เป็นจํานวนเงิน 4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้มูลค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งแกร่งหนุนให้สินค้าต่างประเทศมีราคาถูกกว่าสินค้าของอเมริกา ส่งผลให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น
นักเศรษฐศาสตร์และนักการเมืองมีมุมมองที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการขาดดุลการค้า โดยนักเศรษฐศาสตร์บางรายชี้ให้เห็นว่าการขาดดุลการค้ามีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโต และชาวอเมริกันสามารถซื้อสินค้าและบริการจากต่างประเทศได้มากขึ้น แต่หลายคนยังกังวลว่าการขาดดุลการค้าอย่างต่อเนื่องอาจจะส่งผลต่อการจ้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี นาย Scott Paul ประธานกลุ่ม Alliance for American Manufacturing กล่าวว่าสหรัฐฯ ยังต้องใช้เวลาสักระยะในการฟื้นฟูห่วงโซ่อุปทานและนําการผลิตกลับมายังสหรัฐฯ การเปลี่ยนแปลงนโยบายที่สําคัญได้เอื้อประโยชน์ต่อการผลิตของสหรัฐฯ ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ซึ่งธุรกิจสามารถดําเนินการต่อยอดจากสิ่งเหล่านั้นได้
ในทางกลับกัน อดีตประธานาธิบสหรัฐฯ Donald Trump กล่าวว่าการขาดดุลการค้าเป็นสัญญาณของความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ และต้องการเรียกร้องให้ช่องว่างดังกล่าวปรับลดลง อย่างไรก็ดี คณะบริหารของประธานาธิบดีBiden จะได้มีการผลักดันให้อุตสาหกรรมการผลิตกลับคืนสู่สหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรมากขึ้น สหรัฐฯ นําเข้าสินค้าจากจีนในสัดส่วนที่น้อยลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะภาษีศุลกากรในยุค Trump และข้อจํากัดอื่นๆ เกี่ยวกับการค้า ทั้งนี้ ประเทศที่ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญ คือ เม็กซิโก ซึ่งปัจจุบันเป็นจุดหมายปลายทางสําหรับโรงงานทั่วโลกจํานวนมากขึ้นที่หวังจะเสนอตัวเป็นแหล่งผลิตทางเลือกให้กับบริษัทในสหรัฐฯ ข้อมูลที่เผยแพร่เมื่อวันอังคารแสดงให้เห็นว่าการค้ากับเม็กซิโกเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปีที่ผ่านมา โดยการส่งออกเพิ่มขึ้น 17.3% และนําเข้า 18.3% การขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับ เม็กซิโกเพิ่มขึ้น 20.7% เป็น 130,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Moody’s Analytics กล่าวว่า จากตัวเลข GDP ของสหรัฐฯ พบว่า การค้าระหว่างประเทศเป็นแหล่งสําคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมา โดยรวมแล้ว ชาวอเมริกันเปลี่ยนพฤติกรรมจากการซื้อสินค้าอุปโภคและบริโภคในระหว่างการปิดเมือง มาเป็นการใช้จ่ายในภาคบริการมากขึ้นเมื่อมีการเปิดเมือง เช่น การรับประทานอาหาร ความบันเทิง และการเดินทาง ส่งผลให้ยอดการนําเข้าสินค้าเริ่มปรับตัวลดลง นอกจากนี้เศรษฐกิจโลกที่อ่อนแออาจจะเป็นอุปสรรคต่อการส่งออกของสหรัฐฯ และการปรับปรุงการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ในปีนี้