กลุ่มพรรคร่วมรัฐบาลชุดใหม่ของประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ที่ประกอบด้วยพรรค SPD, Greens และ FDP กำลังวางแผนปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ รัฐบาลชุดใหม่ต้องการเปลี่ยนเยอรมนีให้เป็นประเทศอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ ทั้งนี้นายโรเบิร์ต ฮาเบ็ค ผู้นำร่วมจากพรรค Greens กล่าวว่า พวกเขาต้องการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้มั่งคั่งและในขณะเดียวกันพวกเขาต้องการปกป้องสภาพภูมิอากาศ พวกเขากำลังกำหนดเส้นทางสำหรับ “การพัฒนาเศรษฐกิจเชิงสังคมและระบบนิเวศ” และเริ่มต้นทศวรรษใหม่ของการลงทุนแบบยั่งยืนเพื่ออนาคต

ทั้งนี้ สัญญาการเข้าร่วมรัฐบาลที่ร่างร่วมกันของพรรค SPD, Greens และ FDP ที่มีความยาว 177 หน้า ได้ระบุนโยบายที่สำคัญเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจแบบยั่งยืนว่า การเลิกใช้ถ่านหินจะเป็นนโยบายที่ถูกผลักดันให้เกิดขึ้นภายใน 8 ปี โดยกำหนดให้เสร็จเร็วที่สุดภายในปี 2573 โดยจะเน้นการเปลี่ยนพลังงานหลักภายในประเทศจากเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นพลังงานหมุนเวียน

การเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์

นโยบายที่ถูกร่างเพื่อเป็นข้อตกลงการเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลรวมจากพรรคการเมืองทั้ง 3 พรรคได้ระบุว่า ภายในปี 2573 ปริมาณการใช้ไฟฟ้าร้อยละ 80 ควรมาจากพลังงานหมุนเวียน โดยในขณะนี้มีการวางแผนผลิตไฟฟ้าหมุนเวียนได้เพียงแค่ 65 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เพื่อให้นโยบายนี้ประสบความสำเร็จ กำลังการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์จะต้องเพิ่มมากขึ้นเพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศ โดยรัฐบาลชุดใหม่จะออกกฎหมายและข้อบังคับต่างๆและนำมาบังคับใช้ เช่น ข้อกำหนดหลังคาโซลาร์รูฟสำหรับอาคารพาณิชย์ที่ก่อสร้างขึ้นใหม่ และการส่งเสริมให้บ้านส่วนตัวที่กำลังก่อสร้างใช้พื้นที่หลังคาเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นต้น ทั้งนี้รัฐบาลได้มีการวางแผนโครงการก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าหมุนเวียนด้วยเช่นกัน เช่น การสร้างโซลาร์พาร์คและการระบบไฟฟ้าโซลาร์เชลล์ประมาณ 200 กิกะวัตต์จะถูกติดตั้งภายในปี 2573 (คิดเป็น 3 เท่าของระบบที่กำลังมีการสร้างในปัจจุบัน)

การขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม

กำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมจะมีการเพิ่มกำลังการผลิตและขยายพื้นที่ในการผลิต โดยรัฐบาลจะส่งเสริมการผลิตพลังงานลมในพื้นที่ต่าง ๆ รวมถึงขยายการผลิตไปยังพื้นที่นอกชายฝั่งด้วยในอนาคต พื้นที่รัฐจำนวน 2 เปอร์เซ็นต์ของประเทศเยอรมนีถูกสงวนและจัดสรรไว้สำหรับการผลิตพลังงานลมบนบก

สำหรับฟาร์มกังหันลมในทะเลนั้น จะมีการวางแผนกำลังการผลิตอย่างน้อย 30 กิกะวัตต์ภายในปี 2573 โดยในปัจจุบันมีการลงรายละเอียดวางแผนการผลิตไปแล้วมากถึง 20 กิกะวัตต์ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ การเพิ่มกำลังการผลิตเป็นเป็น 70 กิกะวัตต์ภายในปี พ.ศ. 2588

รถยนต์ไฟฟ้า 15 ล้านคันภายในปี 2573

การเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานจะเปลี่ยนอุตสาหกรรมรถนต์อย่างมหาศาล รัฐบาลชุดใหม่ต้องการนำรถยนต์ไฟฟ้าอย่างน้อย 15 ล้านคันออกสู่ท้องถนนภายในปี 2573 โดยผู้บริโภคได้รับความช่วยเหลือจากเงินอุดหนุนจากรัฐ ทั้งนี้ การสิ้นสุดของเครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2573 ซึ่งพรรค Greens เรียกร้อง ไม่ได้ถูกกำหนดไว้ในข้อตกลงร่วมในครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม แผนของคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปที่จะไม่อนุญาตให้ใช้เครื่องยนต์สันดาปอีกต่อไปตั้งแต่ปี 2578 ยังคงมีผลบังคับใช้

นอกจากนี้ รัฐบาลชุดใหม่ระบุว่าพวกเขาจะผลักดันการขยายโครงสร้างพื้นฐานของสถานีชาร์จตลอดจนการวิจัย การผลิตและการรีไซเคิลของเชลล์แบตเตอรี่ “เรากำลังทำให้เยอรมนีเป็นตลาดหลักสำหรับ e-mobility”
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลชุดใหม่ยังไม่มีนโยบายแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจนทั้งในแง่ของการจัดหาเงินทุนหรือในแง่ของมาตรการ เช่น การเก็บภาษีเชื้อเพลิงฟอสซิล เป็นต้น

รายงานข่าวได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการจัดหาเงินทุนสำหรับพัฒนาเศรษฐกิจเชิงนิเวศและสังคมตามนโยบายรัฐบาลชุดใหม่นี้ ธนาคารเพื่อการพัฒนาของรัฐ KW (Kedtanstalt fur Wiederaufbau จะมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมาก โดยธนาคารเพื่อการพัฒนาของรัฐ จะทำหน้าที่เป็นหน่วยงานที่สนับสนุนสินเชื่อ ด้านนวัตกรรมและการลงทุนแก่บริษัทสตาร์อัพใหม่ๆ เพื่อส่งเสริมให้เกิดบริษัทสตาร์อัพมากขึ้นภายในประเทศและเป็นศูนย์รวมของบริษัทสตาร์อัพด้านนวัตกรรมที่สำคัญของทวีปยุโรป

ที่มาข้อมูล : สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต (ธันวาคม 2564)
Taggesschau

_____________________________________________
Website : http://ditp-overseas.com
Facebook: https://www.facebook.com/ditpoverseas
Youtube : https://bit.ly/36fT76e

#DITP #OMD2 #สพต2