บริษัทวิจัย eMarketer ได้คาดการณ์ว่า แม้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซจะเติบโตอย่างเชื่องช้าด้วยผลกระทบจากสถานการณ์เงินเฟ้อ แต่ในปีนี้จะเป็นครั้งแรกที่ตลาดธุรกิจอีคอมเมิร์ซของสหรัฐฯมียอดขายทะลุ 1 ล้านล้าน (Trillion) เหรียญสหรัฐ โดยกลุ่มสินค้าที่ขายดีและนำหน้าสินค้ากลุ่มอื่นคือ กลุ่มสินค้าเสื้อผ้าและแฟชั่นประดับ จากข้อมูลสถิติในช่วงระหว่างไตรมาสแรกของปี 2563 เทียบกับ 2564 กลุ่มธุรกิจนี้เติบโตขึ้นร้อยละ 25 ในขณะที่รายได้รวมของธุรกิจอีคอมเมิร์ซทั้งหมดในตลาดสหรัฐฯเติบโตร้อยละ 19
นอกจากนี้ สหรัฐฯยังเป็นตลาดที่ผู้บริโภคเข้าถึงอินเตอร์เน็ตในระดับสูงมาก เป็นผู้นำด้านการคิดค้นนวัตกรรมทางเทคโนโลยีออนไลน์ที่สำคัญ มีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตกว่า 300 ล้านคน มีผู้บริโภคซื้อสินค้าออนไลน์กว่า 205 ล้านคน ยิ่งไปกว่านั้น ตลาดอีคอมเมิร์ซในสหรัฐฯยังได้เปรียบตลาดอื่นๆที่เพดานปลอดภาษีนำเข้าสูง แต่ข้อเสียก็คือต้นทุนค่าขนส่งสินค้ามายังตลาดสหรัฐโดยเฉพาะจากเอเชียจะแพง
ดังนั้น สินค้าที่เหมาะกับผู้ส่งออกไทยคือสินค้าเครื่องประดับและเสื้อผ้าสำเร็จซึ่งมีน้ำหนักน้อยและค่าขนส่งไม่แพงมาก โดยผู้ส่งออกไทยควรศึกษาข้อมูลดังต่อไปนี้เพิ่มเติม
1. การชำระภาษีการค้าในสหรัฐฯ: ขอรับ Employer Identification Number (EIN) จาก Federal Government เพื่อการยื่นและส่งภาษีได้อย่างถูกต้อง โดยแพลทฟอร์มออนไลน์จะมีคำแนะนำเรื่องการชำระภาษี
2. การชำระภาษีอากรนำเข้า: สหรัฐฯไม่เรียกเก็บภาษีศุลกากรนำเข้าของสินค้าที่จำหน่ายทางออนไลน์มายังสหรัฐฯและมีมูลค่าสำแดงต่ำกว่า 800 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 28,000 บาท) ซึ่งจัดว่าเป็นอัตรายกเว้นภาษีที่สูงที่สุดในโลก ช่วยเอื้อประโยชน์ให้แก่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน
3. การจำหน่ายสินค้าที่มีน้ำหนักและขนาดใหญ่ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ อาจทำให้มีค่าขนส่งสูง ในกรณีนี้ ผู้ประกอบการควรพิจารณาใช้ Third Party Warehouse เพื่อการสต็อกสินค้าส่วนหนึ่งไว้ในสหรัฐฯ ช่วยให้การขนส่งสินค้ารวดเร็ว ลดต้นทุนค่าขนส่ง
4. การประยุกต์ใช้ Social Media และ Content Marketing เพื่อสนับสนุนและเพิ่มยอดขายสินค้า
5. สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจการขายผ่านแพลทฟอร์มขนาดใหญ่ของสหรัฐควรพิจารณาแพลตฟอร์มการค้าระหว่างประเทศของ Amazon Global Selling หรือแพลตฟอร์ม Walmart Marketplace ที่เปิดให้ Third Party นำสินค้าไปจำหน่ายได้