ยานยนต์ที่ใช้พลังงานทางเลือกถือเป็นส่วนสำคัญในการช่วยลดการใช้คาร์บอนทั่วโลก การขับขี่ด้วยไฟฟ้าเป็นนวัตกรรมที่นำเสนอศักยภาพทางเศรษฐกิจและโอกาสสำหรับภาคธุรกิจในเนเธอร์แลนด์ ปัจจุบันรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ให้ความสำคัญและมีแผนสนับสนุนเกี่ยวกับธุรกิจ e-mobility มากขึ้น ซึ่งเป็นที่น่าสนใจและน่าจับตามองอุตสากรรมการนำเข้ารถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด และการผลิตยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็ก เช่น จักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ตลอดจน การประกอบโครงสร้างแท่นชาร์จสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งแบบสาธารณะ กึ่งสาธารณะ แบบส่วนตัวที่ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถสั่งซื้อและนำไปติดตั้งเองที่บ้านได้ และแบบชาร์จเร็ว

จากตัวเลขข้างต้นแสดงให้เห็นว่าจำนวนของผู้ใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบตเตอรี่ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้จำนวนรถยนต์ไฟฟ้าบนท้องถนนในประเทศเนเธอร์แลนด์มีจำนวนประมาณ 218,000 คัน (*อ้างอิงจากตัวเลขรถใหม่ที่จดทะเบียนในปี 2563) และเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปี 2564 ถึงกว่า 310,000 คัน ในขณะที่เมื่อปี 2559 มีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบตเตอรี่จดทะเบียนเพียงประมาณ 4,000 คันเท่านั้น เนื่องจากราคาของรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ในขณะนั้นยังคงมีราคาที่สูงเกินกว่าที่ผู้ใช้รถยนต์ทั่วไปจะให้ความสนใจและตัดสินใจซื้อเมื่อเทียบราคากับรถยนต์ธรรมดาแบบใช้พลังงานน้ำมันเชื้อเพลิง อีกทั้งปัญหาในการหาแท่นชาร์จไฟฟ้าตามจุดสาธารณะในขณะนั้นยังคงมีจำนวนน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับความสะดวกสบายในการใช้รถยนต์แบบน้ำมันเชื้อเพลิงหรือแบบปลั๊กอินไฮบริดที่สามารถใช้พลังงานไฟฟ้าหรือใช้พลังงานน้ำมันเชื้อเพลิงก็ได้

ในปี 2561 รถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบตเตอรี่เริ่มเป็นที่สนใจมากขึ้นในกลุ่มประเทศยุโรป ทำให้ประเทศเนเธอร์แลนด์เริ่มมีการซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเป็นจำนวนมากอย่างก้าวกระโดดถึง 24,000 คัน เนื่องจากรัฐบาลเริ่มมีการสนับสนุนกลุ่มธุรกิจบริการให้เช่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบตเตอรี่แบบทั้งรายวันและรายชั่วโมง เพื่อให้คนทั่วไปได้มีโอกาสทดลองขับรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่อย่างทั่วถึง ซึ่งนับว่าเป็นแผนการสนับสนุนที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ในปีถัดมาผู้ใช้รถยนต์เริ่มมองเห็นข้อดีและความแตกต่างของการใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างชัดแจน จนทำให้มีความต้องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ ส่วนแบ่งของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริดในเนเธอร์แลนด์จึงเพิ่มขึ้น และมีจำนวนตัวเลขการซื้อรถใหม่และจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าเริ่มเข้ามาแทนที่รถยนต์พลังงานน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น เมื่อเทียบกับปี 2562 ส่วนแบ่งทางการตลาดของการซื้อรถยนต์แบบพลังงานทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นพลังงานไฟฟ้าแบตเตอรี่ พลังไฟฟ้าแบบไฮบริด หรือรถยนต์ที่ใช้ก๊าซซีเอ็นจี (CNG-Compressed Natural Gas)  มีเพียงแค่เกือบหนึ่งในสี่ของตลาดรถยนต์ที่นั่งส่วนบุคคลของเนเธอร์แลนด์ นอกจากการพัฒนาและแนวโน้มการขยายตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว อนาคตของรถจักรยานไฟฟ้าก็มีแนวโน้มขยายตัวเช่นกัน ระหว่างปี 2550 ถึง 2562 มูลค่าการขายรถจักรยานไฟฟ้าในเนเธอร์แลนด์เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 42 โดยในปี 2555 การนำเข้ารถจักรยานไฟฟ้าในเนเธอร์แลนด์มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 85 ล้านยูโร และต่อมาในปี 2562 มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นสูงถึง 536 ล้านยูโร ขยายตัวเพิ่มขึ้นสูงถึงกว่าหกเท่าของมูลค่าในปี 2555

กลุ่มธุรกิจ e-mobility ของเนเธอร์แลนด์ได้เริ่มต้นปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ใช้ยานพาหนะขับขี่บนท้องถนน โดยเริ่มจากนำเสนอสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าและจักรยานไฟฟ้าเข้ามาเป็นผู้เล่นแรกในตลาด ซึ่งภายหลังจากนั้นไม่นานก็ได้เริ่มขยายประเภทการใช้งานของยานพาหนะ จากยานพาหนะที่ขับเคลื่อน 2 ล้อด้วยไฟฟ้า เป็นยานพาหนะที่ขับเคลื่อน 4 ล้อ ทั้งนี้ วิสัยทัศน์และการสนับสนุนจากรัฐบาลเป็นปัจจัยหลักในการผลักดันให้อุตสาหกรรมและธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตมากขึ้น

COVID-19 กับผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า

ในช่วงปี 2562 ถึง 2563 ทั่วโลกต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 และเศรษฐกิจที่หยุดชะงัก แต่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในเนเธอร์แลนด์กลับทะยานตัวพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากหลายสาเหตุ อาทิ การตื่นตัวของประชาชนจากโรคระบาดไวรัสโคโรนา ความกังวลเรื่องทรัพยาการน้ำมันที่กำลังถดถอยและลดน้อยลง ส่งผลให้เศรษฐกิจซบเซาอย่างรุนแรง หรือสถานการณ์มลพิษทางอากาศของโลก PM 2.5 ตลอดจนสภาวะโลกร้อน ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้รัฐบาลเนเธอร์แลนด์และประชาชนชาวดัชท์หันมาให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานทดแทนเป็นอย่างมาก และเป็นที่รู้กันดีว่าประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นหนึ่งในผู้นำทางด้านการขนส่งด้วยระบบไฟฟ้าชั้นนำของโลก ประเทศเนเธอร์แลนด์จึงถือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่น่าสนใจกับหลายๆ ประเทศ และเป็นระยะเวลากว่าทศวรรษที่เนเธอร์แลนด์ได้ลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์พื้นฐานสำหรับแท่นชาร์จไฟฟ้า รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีและการเชื่อมต่อใหม่ๆ ทำให้หน่วยงาน RVO (The Netherlands Enterprise Agency) มีมาตรการสนับสนุนการลงทุนด้านนี้ด้วยการให้เงินช่วยเหลือภาคเอกชน โดยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมาหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ในเนเธอร์แลนด์ ได้เริ่มเข้าสู่มาตรการผ่อนคลายการล็อกดาวน์ของประเทศ บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าต่างๆ ในเนเธอร์แลนด์ได้รับเงินสนับสนุนจากหน่วยงาน RVO เป็นมูลค่าถึง 4,000 ยูโร ต่อการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าใหม่ 1 คัน โดยรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่ดังกล่าวจะต้องขายปลีกอยู่ที่ราคาไม่เกิน 45,000 ยูโร และไม่ต่ำกว่า 12,000 ยูโร

ด้วยเหตุนี้ทำให้มูลค่าการซื้อขายรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ในเนเธอร์แลนด์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วระหว่างปี 2562-2564 และถึงแม้ว่ามาตรการสนับสนุนจะสิ้นสุดลงแล้วตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 แต่ด้วยปรากฎการณ์การตื่นตัวของสหภาพยุโรปเกี่ยวกับโครงการความร่วมมือในการแก้ปัญหาสภาวะโลกร้อนอย่างเร่งด่วน (โครงการ Climate change is real) ทำให้เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมารัฐบาลเนเธอร์แลนด์มีมติเห็นชอบและอนุมัติมาตรการและเงินช่วยเหลืออีกครั้งสำหรับกลุ่มธุรกิจผู้นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า เป็นเงินจำนวนมากถึง 20 ล้านยูโร โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2565 ทั้งนี้ เพื่อที่รัฐจะสามารถควบคุมมลภาวะทางอากาศภายในประเทศได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับแผนนโยบาย Zero-Emission ที่รัฐบาลได้วางไว้เริ่มต้นจากปีนี้ไปจนถึงปี 2573

นโยบาย Zero-Emission กับทิศทางการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในเนเธอร์แลนด์

นโยบาย Zero-Emission ของรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ คือ แผนของรัฐบาลที่พยายามผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมยานยนต์และการขนส่งภายในประเทศ ให้กลายเป็นเขตปลอดมลพิษและเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเท่านั้นภายในปี 2573 รัฐบาลได้วางแผนและกำหนดให้รถยนต์นั่งส่วนบุคคลใหม่ทั้งหมดในประเทศเนเธอร์แลนด์จะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนด โดยรถยนต์ทุกคันจะต้องไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนอีกต่อไป ยานพาหนะทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ส่วนบุคคล หรือรถโดยสารสาธารณะจะต้องใช้ประโยชน์จากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น ลมและแสงอาทิตย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

หากมองจากภาพรวมของกำลังซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบตเตอรี่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าแผนและมาตรการให้เงินสนับสนุนจากรัฐบาลต่อภาคเอกชนถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในการปลุกกระแสตลาดรถรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้รับความนิยมเพื่อมาทดแทนตลาดรถยนต์พลังงานน้ำมันเชื้อเพลิงแบบเดิม ซึ่งส่งผลให้ตลาดผู้นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้ามีความคึกคัก และก่อให้เกิดโอกาสในการสร้างงานต่อคนในชุมชน ตลอดจนเป็นการสร้างแรงบันดาลใจในสาขาอาชีพใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยายนต์ไฟฟ้าต่อคนรุ่นใหม่มากยิ่งขึ้น  และเมื่อตลาดนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าได้รับการตอบรับจากกลุ่มผู้ซื้อเป็นอย่างดี จึงเป็นเครื่องหมายยืนยันชัดเจนว่า กลุ่มผู้ซื้อรถยนต์ในเนเธอร์แลนด์มีความใส่ใจและมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของตัวเองเป็นอย่างมาก เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่สู่มอเตอร์เพื่อทำการขับเคลื่อน โดยที่ไม่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน จึงไม่ก่อให้เกิดการเผาไหม้ เป็นการลดมลภาวะลงแบบเบ็ดเสร็จ นอกจากนี้ เสียงของการทำงานของรถยนต์ไฟฟ้ามีความเงียบกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงหลายเท่า แต่ยังคงสามารถมีอัตราเร่งได้ตามที่ผู้ขับขี่ต้องการเพราะไม่มีขั้นตอนการทดเกียร์ ทำให้รถยนต์สามารถตอบสนองในการขับขี่ได้ตามความต้องการของผู้ขับขี่ อีกทั้งรถยนต์ไฟฟ้ายังช่วยประหยัดเงินค่าน้ำมันและค่าซ่อมบำรุง เพราะไม่มีเครื่องยนต์ที่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง จึงทำให้การดูแลรักษาเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาในการนำรถยนต์ไปเข้ารับการบำรุงรักษาบ่อย ๆ ซึ่งนับเป็นทางออกที่ตอบโจทย์ในการช่วยผู้บริโภครับมือกับปัญหาเศรษฐกิจน้ำมันแพงเป็นอย่างมาก

ดัชนีตัวเลขการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่และรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 2559 – 2564

เป็นที่น่าสังเกตว่าในช่วงปี 2562-2564 กลุ่มรถยนต์พลังไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ เริ่มได้รับความนิยมและถูกเลือกซื้อมากกว่ากลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริดและเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว และคาดว่าหลังจากแผนและมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติมอีก 20 ล้านยูโร ที่จะเริ่มต้นในปีหน้า จะยิ่งทำให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าพุ่งทะยานสูงขึ้นไปอีกอย่างแน่นอน

3 ลำดับยี่ห้อรถยอดนิยมของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและรถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริดในเนเธอร์แลนด์ในช่วงปี 2563 – 2564

รถยนต์พลังงานไฟฟ้า
1. Ford Mustang Mach-E มีจำนวนจดทะเบียนทั้งหมด 505 คัน
2. Kia Niro E มีจำนวนจดทะเบียนทั้งหมด 515 คัน
3. Skoda Enyaq 60 มีจำนวนจดทะเบียนทั้งหมด 479 คัน

รถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด
1. Ford Kuga มีจำนวนจดทะเบียนทั้งหมด 377 คัน
2. Volvo Xc40 มีจำนวนจดทะเบียนทั้งหมด 301 คัน
3. BMW X Serie มีจำนวนจดทะเบียนทั้งหมด 216 คัน

ภาพรวมและแนวโน้มตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในเนเธอร์แลนด์

ในปี 2564 จำนวนรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ (BEV) ที่จดทะเบียนเพิ่มขึ้นทั้งหมดในเนเธอร์แลนด์มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยขยายตัวสูงสุดอยู่ที่ร้อยละ 2.18 คิดเป็นจำนวน 191,265 คัน และการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดมีการเติบโตอยู่ในขั้นปานกลางอยู่ที่ร้อยละ 5.2 คิดเป็นจำนวน 120,105 คัน โดยจำนวนรถยนต์พลังงานน้ำมันเชื้อเพลิงมีการจดทะเบียนใหม่ลดเหลือเพียง 418 คันเท่านั้น นอกจากนี้ รัฐบาลยังคงให้เงินสนับสนุนการสร้างสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในเนเธอร์แลนด์ให้มีจำนวนเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน เนื่องจากการใช้รถยนต์ไฟฟ้าอาจมีความจำเป็นต้องชาร์จรถยนต์ระหว่างทาง จึงจำเป็นต้องมีสถานีชาร์จไฟฟ้าเฉพาะตามประเภทรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นด้วย สถานีชาร์จไฟฟ้าส่วนใหญ่เป็นสถานีสาธารณะและกึ่งสาธารณะ โดยปัจจุบันเนเธอร์แลนด์มีจุดชาร์จมากกว่า 60,000 จุดรวมกัน (จุดชาร์จแบบแท่นชาร์จสาธารณะ แท่นชาร์จกึ่งสาธารณะ และแท่นชาร์จเร็ว) ทั่วประเทศ รัฐบาลตั้งเป้าที่จะให้มีการผลิตแท่นชาร์จขึ้นมารองรับให้ได้มากถึง 100,000 จุดทั่วประเทศภายในปีหน้า

โอกาสทางการค้าในการส่งออกสินค้าชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยและความเห็น สคต.

  • ผู้ผลิตและผู้ส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ไทยที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ กลุ่มเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง ระบบเชื้อเพลิง ระบบระบายความร้อน ระบบควบคุมไอเสีย โดยระบบเหล่านี้จะมีความต้องการที่ลดลงจากการถูกแทนที่ด้วยชิ้นส่วนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ ผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์เพื่อทดแทนสินค้าและอุปกรณ์ที่ชำรุดเสียหายในตลาด Replacement Equipment Manufacturer (REM) จะได้รับผลกระทบมากเช่นกัน เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้ามีชิ้นส่วนที่เคลื่อนที่น้อยลง ทำให้เกิดการสึกหรอต่ำ ไม่จำเป็นต้องการบำรุงรักษามาก แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตชิ้นส่วนประเภทโครงและตัวถัง ระบบเบรค (บางส่วน) ระบบส่องสว่าง อุปกรณ์ภายใน อาจไม่ได้รับผลกระทบมากนักเพราะยังคงสามารถใช้ชิ้นส่วนเหล่านี้ได้กับรถยนต์ทั้งสองประเภท
  • รถยนต์ไฟฟ้าใช้ชิ้นส่วนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใหม่ๆ ที่มีความซับซ้อนและมีเทคโนโลยีขั้นสูงกว่าชิ้นส่วนเครื่องยนต์สันดาปภายใน ผู้ผลิตไทยจึงจำเป็นต้องปรับการผลิตให้ทันสมัยเพื่อผลิตสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของตลาดได้ ในขณะเดียวกันก็ควรต้องปรับตัวเพื่อรองรับการแข่งขันจากผู้ผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนต่างชาติที่ใช้เครื่องจักรผลิตชิ้นงานที่มีมาตรฐานในปริมาณมากและสามารถผลิตได้ในเวลาที่รวดเร็วด้วย
  • อย่างไรก็ตาม โอกาสสำหรับธุรกิจไทยยังคงมีอยู่ จากแนวโน้มตลาดและความต้องการบริโภครถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง หากผู้ประกอบการไทยสามารถปรับเปลี่ยน และต่อยอดจากฐานการผลิตที่มีอยู่เดิม ก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสทางการค้าที่รออยู่ได้ นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้ามีส่วนที่เกี่ยวข้องกับอิเล็กทรอนิกส์และดิจิทัล จึงเป็นโอกาสของธุรกิจและนวัตกรรมใหม่ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ด้วยเช่นกัน อาทิ การพัฒนาแอปพลิเคชั่นสำหรับรถยนต์ การพัฒนาระบบยานยนต์อัจฉริยะไร้คนขับ เป็นต้น รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานและสภาพแวดล้อม (Ecosystem) ของรถยนต์ไฟฟ้า เช่น ธุรกิจสถานีชาร์จไฟฟ้า อุปกรณ์ชาร์จไฟฟ้าแบบพกพา บริการเปลี่ยนแบตเตอรี่ เป็นต้น
  • นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยควรหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดทำมาตรฐานรถยนต์ไฟฟ้า และพัฒนาศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ตัวแทนผู้ผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนจากผู้ผลิตหลักในประเทศไทย เป็นต้น เพื่อกำหนดแนวทางในการทำความตกลงกับประเทศศักยภาพเพื่อการยอมรับมาตรฐานและการตรวจสอบร่วมกันทั้งสองฝ่าย (MRA) รวมทั้งเพื่อลดอุปสรรคทางการค้าต่างๆ และเพื่อเปิดโอกาสให้ไทยสามารถส่งออกไปยังประเทศศักยภาพได้มากขึ้น

ที่มาข้อมูล: รายงานข่าวเด่นจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงเฮก (ต.ค. 2564)
https://rvo.nl/

_____________________________________________
Website : http://ditp-overseas.com
Facebook: https://www.facebook.com/ditpoverseas
Youtube : https://bit.ly/36fT76e

#DITP #OMD2 #สพต2